ธอส.เอาใจคนรายได้ต่ำหมื่นมีบ้าน
ธอส.ยุค"วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี" ผุดสารพัดนโยบายมุ่งสนองลูกค้ารายย่อย"พ่อค้า แม่ค้า วินมอเตอร์ไซค์ หรือรายได้ต่ำ หมื่นต่อเดือนมีบ้านหลังแรก สนองนโยบายรัฐ เชื่อเอ็นพีแอลน้อย ตั้งเป้าขยายสาขาอีก 20 จังหวัด จับมือแบงก์รัฐเปิดพื้นที่ให้บริการใน เอสเอ็มอีแบงก์, บสย., ธ.ก.ส. ขณะเดียวกันรื้อโครงสร้างต้นทุนทางการเงิน-พัฒนาคุณภาพช่องทางการให้บริการเพิ่มระบบ Mobile banking ผ่านมือถือ เน้นประสิทธิภาพพนักงานทำงานเชิงรุกวิ่งเข้าหาลูกค้า
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงภารกิจหลักภายหลังการเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของธอส.ว่า ในปีนี้จะขยายฐานลูกค้าสินเชื่อรายใหม่ไปยังกลุ่มรากหญ้าที่มีรายได้ต่ำกว่าระดับ 10,000 บาทต่อเดือน หรือผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำให้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น โดยธอส.ตั้งวงเงินสินเชื่อกลุ่มรากหญ้าไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันธอส.มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มดังกล่าวราว 5% ของสินเชื่อทั้งหมด
"เป็นโจทย์สำคัญของทางกระทรวงการคลังที่ต้องการให้ขยายฐานลูกค้ากลุ่มรากหญ้าที่มีรายได้น้อยที่ตอนนี้มีสัดส่วนมากถึง 54% ของประชากรทั้งหมดให้มีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเอง โดยธอส.ได้แบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าในชนบทและในชุมชนเมือง ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ในการเจาะกลุ่มแตกต่างกัน เช่น ในชนบทอาจใช้รูปแบบผ่านกองทุนหมู่บ้านโดยให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ช่วยสกรีนลูกบ้านแทน และเชื่อว่าจะมีวินัยทางการเงินดี ไม่กลายเป็นหนี้สูญหรือทำให้เกิดหนี้สูญไม่เกิน 7-8% ถือเป็นความเสี่ยงที่รับได้ ซึ่งธอส.เริ่มเดินเครื่องโครงการเมื่อเดือนก.พ.54 อนุมัติสินเชื่อแล้วประมาณ 100 ล้านบาท"
ทั้งนี้ ธอส.ยังวางกรอบการทำงานให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น โดยจะต้องปรับโครงสร้างการบริหารงานภายในโดยรอบระบบการทำงานหลักของธนาคารทั้งฝั่งสินเชื่อและเงินฝาก ให้แข็งแกร่ง เช่น เอทีเอ็ม, payment-online,mobile banking, internet banking เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการภายในให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับการให้บริการที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายสาขาและยกระดับสาขาย่อยเป็นสาขาหลักให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศอีกราว 20 จังหวัด โดยจะเริ่มในปีนี้ 10 สาขา, การติดตั้ง Self Service Machine และให้บริการผ่านกลุ่มพันธมิตร ได้แก่ เอสเอ็มอีแบงก์, บสย., ธ.ก.ส.
ขณะเดียวกันจะมีการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน เพิ่มจำนวนบุคลากรให้สอดคล้องกับธุรกิจ และเตรียมพนักงานรองรับบุคลากรที่เกษียณ รวมทั้งพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบ IT
"ที่ผ่านมาธอส.ปล่อยสินเชื่อได้ค่อนข้างมากระดับแสนล้านบาท แต่มีระดับการเพิ่มขึ้นสุทธิเพียงหมื่นล้านบาท ส่วนเกิดจากการรีไฟแนนซ์ออก (Refinance-out) จากการแข่งขันด้านดอกเบี้ย เพราะธอส.มีต้นทุนที่สูงกว่า เมื่อการแข่งขันแย่งลูกค้ารายย่อยสูงขึ้น เราต้องปรับกลยุทธ์โดยเน้นลงพื้นที่เข้าถึงชุมชนมากขึ้น ซึ่งได้มีการทบทวนหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรใหม่ โดยจะเน้นการขาย มาร์เก็ตติ้ง เชิงรุกมากขึ้น โดยการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น"
ส่วนปัญหาต้นทุนทางการเงินของ ธอส.ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับ 2.5% สูงกว่าระบบที่อยู่ในระดับ 1.5% ถึง 1% นั้น เนื่องจาก ธอส.เสียเปรียบคู่แข่งในเรื่องข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ แต่หากเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเดียวกันแล้วจะมีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่ง ธอส.พยายามลดต้นทุนลงให้ได้ปีละ 0.1% ด้วยการขยายฐานเงินฝากรายย่อย และหาแหล่งเงินทุนอื่นเพิ่มขึ้น
"ตอนนี้เรามีสัดส่วนลูกค้ารายใหญ่ที่มีเงินฝากระดับ 100 ล้านบาท มากถึง 50% จากปกติแบงก์ทั่วไปที่มีเพียง 15% ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นส่วนใหญ่ลูกค้าจะฝากระยะสั้นซึ่งต้นทุนจะสูงกว่าลูกค้ารายย่อยถึง 7-8% และโอกาสในการถอนออกพร้อมกันค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์เราก็ค่อนข้างน้อย การกระจายต้นทุนจึงทำได้ยาก ส่วนต้นทุนสาขาจะพยายามปรับลดจาก 20-30 ล้านบาทต่อสาขา ให้เหลือ 10 ล้านบาทต่อสาขา เพื่อให้สามารถขยายสาขาได้เพิ่มขึ้น"
นายวรวิทย์ กล่าวว่า ปีนี้ธอส.ได้ปรับเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่อยู่ที่ 99,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5% โดยเพิ่มจากเป้าหมายเดิม 94,000 ล้านบาท แต่ขยับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียงเล็กน้อยที่ปล่อยใหม่อยู่ที่ 98,952 ล้านบาท ซึ่งโตเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 90,000 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อใหม่ทั้งระบบอยู่ที่ 350,000 ล้านบาท โตสุดในรอบ 15 ปี ส่วนปีนี้คาดว่าปริมาณสินเชื่อทั้งระบบน่าจะอยู่ที่ 310,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธอส.ยังตั้งเป้าสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 669,376 ล้านบาท, เอ็นพีแอล (ไม่รวมหนี้ส่วนขาด) 53,637 ล้านบาท หรือ 8.21% หรือลดลงจากเดิม 2,000 ล้านบาท, ตัดหนี้ส่วนขาดออกจากบัญชี 3,000 ล้านบาท, สินทรัพย์รอการขาย (NPA) ลดลงปีละ 500 ล้านบาท, สินทรัพย์รวม 696,662 ล้านบาท, เงินฝาก 558,832 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,452 ล้านบาท
"ภายใน 3 ปี จะพยายามลดเอ็นพีแอลให้เหลือต่ำกว่า 5% แต่ปัจจัยลบในแต่ละปีก็มีมาก ซึ่งปีนี้มีหลายประการ ได้แก่ ราคาน้ำมันแพง, ภาวะเงินเฟ้อ, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น, มาตรการ LTV ของ ธปท. และปัจจัยเรื่องความไม่แน่นอน