กรมบังคับคดีรื้อระบบบังคับคดียกกระบิ ลดขั้นตอนตั้งแต่รับสำนวนฟ้อง เดินหมายศาล ยึดทรัพย์ เล็งขายทอดตลาดแบบอีออกชั่น หวังโละสต๊อกของรอขาย 9 หมื่นล้าน งัดแผนบี้ลูกหนี้คดีแพ่งสั่งอายัดเงินเดือน-บัญชีธนาคาร แทนยึดทรัพย์ สั่งจับตาพวกล้มบนฟูก ยืดล้มละลายจาก 3 ปี เป็น 5 ปี
นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กรมบังคับคดีจะปรับโครงสร้างการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือเฉลี่ยปีละกว่า 2 แสนล้านบาทใหม่ เพื่อเร่งระบายทรัพย์ออกสู่ตลาดให้มากที่สุด โดยจะแก้ไขระเบียบข้อกฎหมายลดขั้นตอนการดำเนินงาน ให้การยึดทรัพย์บังคับคดีรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยึดหรืออายัดสิทธิเรียกร้อง แทนการยึดทรัพย์บังคับคดีแล้วนำออกขายทอดตลาด ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 ปี พร้อมกับเปิดสำนักงานสาขาของกรมบังคับคดีเพิ่มอีก 2 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชนมากขึ้น
ทั้งนี้การดำเนินการทั้งหมดนี้จะเห็นผลภายในเวลา 6 เดือน
ขยายสาขาเพิ่ม 2 แห่ง
ในส่วนของคดีแพ่งจากนี้ไปจะเร่งรัดเรื่องการบริหารจัดการตั้งแต่ชั้นยึดทรัพย์ จากเดิมอาจจะล่าช้าทำให้ลูกหนี้ฉวยโอกาสย้ายทรัพย์สินได้ โดยเฉพาะทรัพย์ที่เป็นสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ได้นำระบบใบนัดนำยึดมาใช้ กรมบังคับคดีไม่ทราบล่วงหน้าว่าเจ้าหนี้ประสงค์จะนำยึดทรัพย์เมื่อใด จะปรับใหม่โดยใช้ระบบใบนัดนำยึด ทำให้ทราบล่วงหน้า สามารถจัดสรรงบประมาณ กำลังคนได้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ขณะที่เจ้าหนี้ก็ได้รับชำระหนี้เร็วขึ้น ส่วนการยึดอสังหาริมทรัพย์รวดเร็วอยู่แล้ว เพราะยึดโอนในทางทะเบียน
นอกจากนี้จะเปิดสาขากรมบังคับคดีในกรุงเทพมหานครเพิ่มอีก 2 แห่ง ในทำเลที่ตั้งศาลแพ่งกรุงเทพฯใต้และศาลแพ่ง พร้อมกับเปลี่ยนระบบกระดาษเป็นระบบไอทีทั้งหมด การดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ เร็วขึ้น ยึดทรัพย์ได้เร็วขึ้น ประชาชนสะดวกมากขึ้น
งัดกฎใหม่อายัดบัญชีเงินดือน
นายวิศิษฏ์กล่าวว่า สำหรับคดีแพ่ง เรื่องสำคัญที่จะดำเนินการคือ การอาศัย อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดสิทธิเรียกร้อง หรืออายัดเงินเดือนหรือบัญชีธนาคารของลูกหนี้ จากเดิมที่ใช้วิธีการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี แต่การอายัดสิทธิเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็นการอายัดเงินเดือน บัญชีธนาคาร สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายใน 3 เดือน และมีต้นทุนต่ำที่สุดทั้งในส่วนของลูกหนี้ เจ้าหนี้ หน่วยงานรัฐ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยแต่ละปีตั้งเป้าอายัดสิทธิเรียกร้องประมาณ 10,000 เรื่อง
ที่จะดำเนินการควบคู่กันไปคือ แก้ไขปัญหาขายทอดตลาดไม่ได้ราคาที่เป็นราคาตลาดจริง ๆ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงมอบนโยบายให้หาทางแก้ไข ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาร่วมกับคณะพาณิชย ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หามูลค่าราคาบังคับขายที่แท้จริง และจะปรับปรุงอาคารใหม่ติดริมน้ำเป็นห้องขายทอดตลาด จัดระบบถ่ายทอด ในอนาคตจะจัดประมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือ อีออกชั่น ส่วนต่างจังหวัดจะจัดงานมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างหาแนวทางฟ้องร้องเรียกส่วนต่างราคา กรณีมี ผู้ประมูลทรัพย์จากการขายทอดตลาดแล้วไม่ยอมรับโอนทำให้ต้องนำทรัพย์ออกประมูลใหม่ เช่น เดิมประมูลซื้อ 8 ล้านบาท แล้วไม่ยอมรับโอน หากขายทอดตลาดครั้งใหม่ได้ 6 ล้านบาท ก็จะฟ้องเรียกเงินส่วนต่าง 2 ล้านบาท
ขณะที่คดีล้มละลายที่ปัจจุบันมีคดีฟ้องร้องเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15,000-16,000 เรื่อง/ปี จะตรวจสอบลูกหนี้ที่ถูกปลดล้มละลายแล้วมีพฤติกรรมทุจริตเข้มข้นขึ้น เช่น หากไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบทรัพย์สินก็จะยื่นคำร้องต่อศาลให้เพิ่มระยะเวลาปลดล้มละลายจากเดิม 3 ปี เป็น 5 ปี ส่วนปัญหาล้มบนฟูกหลังตั้งกองติดตามทรัพย์สิน กรมบังคับคดีได้ร่วมมือกับบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านบัญชีและกฎหมายติวเข้มเรื่องการตรวจสอบบัญชี ติดตามทรัพย์สิน จะดำเนินการนำร่อง 3-4 ราย ให้เป็นกรณีตัวอย่าง
"มองในภาพรวมบอกได้ว่า เรากำลังเปลี่ยนกรมบังคับคดีเป็นกรมไอที 1.ทันสมัย 2.ทันใจ ปีนี้จะมีการลงทุนในระดับแอปพลิเคชั่นด้วย ชั้นสำนวนจะถูกสแกนเข้าระบบ ตัวสำนวนตัวเอกสาร จะถูกส่งไปจัดเก็บไว้อีกที่หนึ่ง การรับสำนวน การส่งสำนวนใช้ระบบไอทีทั้งหมด แม้แต่เรื่องเดินหมายศาล ที่ผ่านมามักมีข้อโต้แย้งว่าเดินหมายไม่ครบถ้วน ต่อไปทุกครั้งที่ส่งหมายจะ เช็กได้ว่าส่งจริง จะใช้ระบบบอกพิกัดตำแหน่ง (จีพีเอส) ใช้กาวพิเศษติดหมาย แม้ดึงหมายออกก็ตรวจสอบได้"
นายวิศิษฏ์กล่าวต่อว่า การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้การยึดทรัพย์และการขายทอดตลาดดีขึ้นทั้งระบบ ตนจึงตั้งเป้าคดีแล้วเสร็จในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก ปี 2553 เท่าตัว เช่น คดีแพ่งปี 2553 ขาดทอดตลาดทรัพย์สินได้รวม 48,000 ล้านบาท ก็น่าจะขายได้เพิ่มเป็น 80,000-90,000 ล้านบาท ส่วนการขายทรัพย์ในคดีล้มละลายก็จะเพิ่มขึ้น จากปี 2553 ที่ขายได้ 6,000-7,000 ล้านบาท
สภาทนายฯชี้คดีจบเร็วขึ้น
นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความเห็นกรณีกรมบังคับคดีจะใช้วิธีอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ว่า ในหลักการจะทำให้การบังคับหนี้จบเร็วขึ้น ถูกต้องและเป็นธรรมขึ้น เพราะที่ผ่านมาศาลตัดสินแล้วต้องใช้เวลานานกว่าจะบังคับคดีแล้วเสร็จ ทั้งนี้ เรื่องนี้ไม่ต้องแก้ไขกฎหมายก็เป็นสิทธิที่เจ้าหนี้ทำได้อยู่แล้ว เพียงแค่หากเจ้าหนี้สืบทรัพย์ เองการจะสืบหาชื่อบัญชีเงินเดือนหรือ บัญชีธนาคารทำได้ยาก เนื่องจากธนาคารมักปฏิเสธโดยอ้างเป็นความลับของลูกค้า
แต่การอาศัยอำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีสามารถดำเนินการได้ เพราะธนาคารหรือสถาบันการเงินต้องให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ต้องบังคับเท่าที่จำเป็น และบังคับไป ทีละอย่าง ไม่ใช่ทั้งหมด ดังนั้นถ้ามูลหนี้ไม่สูงนัก การอายัดเงินเดือน บัญชีธนาคารจะทำให้คดีเสร็จรวดเร็วขึ้น
วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:39:20 น